WEALTHหนุนเร่งลงทุนรับแผนการออมและสิทธิประโยชน์ทางภาษีโค้งสุดท้ายก่อนจบปี

0

WEALTHหนุนเร่งลงทุนรับแผนการออมและสิทธิประโยชน์ทางภาษีโค้งสุดท้ายก่อนจบปี

แนะกระจายพอร์ตลงทุนทั้งหุ้นไทยและสหรัฐฯ โอกาสสร้างผลตอบแทนดีในปีหน้า SCB WEALTH หนุนนักลงทุนเร่งลงทุนในกองทุน RMF-SSF และ Thai ESG เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในสัปดาห์สุดท้ายส่งท้ายปี
แนะกระจายพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีปัจจัยบวกสนับสนุนเดินหน้าสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องได้ ตลาดคาดปีหน้า Fed มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 3 ครั้ง ส่งผลบอนด์ยิล ลดลงอย่างรวดเร็ว
หนุนบริษัทจดทะเบียนสร้างผลกำไรดีขึ้น คาดว่า เม็ดเงินจาก money market ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสถิติทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้น S&P500 จะทำผลงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ส่วนตลาดหุ้นไทย
มีมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกมาก อยู่ระหว่างรอเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะไหลกลับเข้ามา จากปัจจัยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย ที่เริ่มแคบลงคาดว่าเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาทั้งในตลาดหุ้น และตราสารหนี้ ในปีหน้า

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับการลงทุนในกองทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ในปี 2566 ขอแนะนำนักลงทุนที่มีรายได้ ต้องเสียภาษี ให้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) และกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน
(ThaiESG) ตามสิทธิที่มี เพื่อลดหย่อนภาษีตามฐานภาษีของแต่ละบุคคล ฐานภาษีขอแต่ละบุคคล ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อลงทุนครบตามกำหนดเงื่อนไข ซึ่งการลงทุนในกองทุนดังกล่าวเป็นการสร้างวินัยการออม เพื่อสร้างฐานะทางการเงินที่มั่นคง และมั่งคั่งในอนาคต หรือในวัยเกษียณ “การลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น กองทุน RMF และ SSF สามารถเลือกลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ส่วน ThaiESG ลงทุนเฉพาะหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG เพื่อให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพ และลดความผันผวนได้ ” สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีตแต่กำลังอยู่ระหว่างรอเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะไหลกลับเข้ามาจากปัจจัยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย ที่เริ่มแคบลง
ที่ทำให้ค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยคาดว่าจะส่งผลให้เงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาทั้งในตลาดตราสารหนี้
และตลาดหุ้นในปี 2567 ส่วนตลาดต่างประเทศ ที่เหมาะสำหรับการลงทุนใน RMF – SSF ในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายประการ ประเด็นหลัก ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่หยุดขึ้นแล้วและมีแนวโน้มจะปรับลดลงในปี 2567 โดย Fed Dot Plot คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะปรับลดประมาณ 3 ครั้งในปีหน้า ขณะที่ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง ส่งผลสะท้อนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ดีขึ้น เราจะได้เห็นการปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เกิดขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป (soft landing) โดยพิจารณาเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ พบว่า ภาคบริการ และ การจ้างงานยังมีตัวเลขที่ออกมาดูดี เป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคการผลิตจะหดตัวก็ตาม ในส่วนของเม็ดเงินลงทุนปัจจุบันพบว่านักลงทุนรายย่อย ยังลงทุนอยู่ในตลาดเงิน (money market)
ค่อนข้างมาก ขณะที่นักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งโดยปกติ การเคลื่อนย้ายเงินทุนของรายย่อยจะช้ากว่านักลงทุนสถาบัน ดังนั้น ถ้าตัวเลขต่างๆ ดีขึ้น เงินเฟ้อทยอยปรับเข้าสู่กรอบนโยบาย
เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินของนักลงทุนรายย่อยจาก money market ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯเพิ่มเติมได้ และเมื่อพิจารณาข้อมูลในอดีตจะเห็นว่าว่า ทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ในช่วง 12 เดือนหลังจากนั้น หุ้นสหรัฐฯ
นำโดยตลาดหุ้น S&P500 จะทำผลงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวปัจจัยเสี่ยงสำหรับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ควรระมัดระวัง คือ ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีในช่วงปลายปี 2567

เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง จะมีเรื่องนโยบายที่ต้องจับตามองในกรณีที่พรรครีพับลิกันได้ชัยชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้คะแนนเสียงมากขึ้นภาพนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันเป็นในลักษณะAggressive มากขึ้น เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นช่วงที่ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนหน้านี้ รวมทั้งเราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายด้าน ESG ด้วย ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยที่ตลาดต้องระมัดระวังความผันผวนที่จะเกิดตามมา
ขณะเดียวกันก็ต้องจับตา การเลือกตั้งในพื้นที่อื่น เช่น ไต้หวัน ที่ต้องติดตามเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เกิดความผันผวนตามมาได้ สำหรับกองทุนที่แนะนำ ประเภท RMF และ SSF ในส่วนของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ SCBRMS&P500 ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 หรือเสี่ยงสูง และ SCBS&P500-SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายลงทุนหุ้นสหรัฐฯ หลากหลายกลุ่มธุรกิจ ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนดัชนีที่ลงทุนใน 500 บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อ้างอิงดัชนี S&P 500 กองทุน SCBRMNDQ(A) ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 และกองทุน
SCBNDQ–SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ที่ลงทุนผ่านกองทุนดัชนีหุ้น100บริษัทในสหรัฐฯ โดยอ้างอิงดัชนี NASDAQ 100 ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนกองทุน RMF สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตบางส่วนลงทุนในหุ้นไทย
แนะนำกองทุน SCBRM4 ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในหุ้นไทยปัจจัยพื้นฐานดีและมีสภาพคล่องสูง และกองทุน SSF แนะนำ SCBLT1 -SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพ 30% และลงทุนในหุ้นไทย
ที่มีนโยบายปันผลสม่ำเสมอ 70% ทางด้านกองทุน Thai ESG แนะนำ SCBTM ที่มีความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง เป็นกองทุนผสม ที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืนแบบยืดหยุ่นตามจังหวะของตลาด
สำหรับเงื่อนไขการลงทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชนและกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่ขายคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์
และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนปีไหนได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้น

ส่วนกองทุน SSF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับ กองทุน RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และ กอช. จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ และไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครอง 10 ปี นับจากวันซื้อ (แบบวันชนวัน)
นอกจากนี้ กองทุน ThaiESG สามารถนำยอดซื้อลงทุนไปหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่นับรวมกับวงเงิน 500,000 บาท จากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ทั้ง กองทุน SSF, RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบนำนาญ, กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และ กอช.
ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ และไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องทุกปี โดยต้องถือครอง 8 ปี แบบจากวันที่ซื้อ

คำเตือน
• กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนกรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
• เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
• ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *