เอสซีจี เดินหน้า ESG 4 Plus เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด จับมือชุมชนรักษ์โลก ลดเหลื่อมล้ำ
เอสซีจี เดินหน้า ESG 4 Plus
เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด จับมือชุมชนรักษ์โลก ลดเหลื่อมล้ำ
เปิดบ้านเอสซีจี ทุ่งสง นครศรีธรรมราช โชว์ธุรกิจกรีน ด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus มุ่ง Net Zero เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด Go Green ร่วมกับชุมชนรักษ์โลก ฟื้นสมดุลป่าต้นน้ำ เปลี่ยนขยะเป็นรายได้ ลดเหลื่อมล้ำ
หนุนชุมชนสร้างอาชีพจากสินค้าท้องถิ่นและต่อยอดท่องเที่ยวอนุรักษ์มุ่งสู่ชุมชนคาร์บอนต่ำ
นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ สำนักงานแบรนด์ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ โดยยึดหลักเชื่อมั่น
โปร่งใส” ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตสีเขียว ควบคู่กับนวัตกรรมกรีน เช่น ปูนสูตรคาร์บอนต่ำ นวัตกรรมรักษ์โลก ลดการใช้ทรัพยากร ร่วมกับทุกภาคส่วนฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และเร่งลดเหลื่อมล้ำสังคมพัฒนาทักษะอาชีพแก่ชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
ช่วยให้คนเลิกแล้ง เลิกจนกว่า 2 แสนคน เพื่อร่วมส่งต่อโลกที่น่าอยู่สู่คนรุ่นต่อไป สำหรับเอสซีจี ทุ่งสง
ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างความมุ่งมั่นเดินหน้า ESG 4 Plus ทั้งในกระบวนการผลิตและร่วมมือกับชุมชนโดยรอบอย่างต่อเนื่องจึงเป็นโอกาสดีในการเปิดบ้านเยี่ยมชมครั้งนี้”
นายชัยยุทธ ไพฑูรย์ ผู้อำนวยการโรงงานปูนทุ่งสง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจี ทุ่งสง ดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus มุ่งเน้นกระบวนการผลิตสีเขียว (Green Process) มาโดยตลอด
ปัจจุบัน ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ นำลมร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ (Waste Heat Generator) รวมทั้งใช้เชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชนและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ต้นปาล์ม ต้นยางพารา ขี้เลื่อย ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดมากกว่าร้อยละ 50 ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 6 แสนตันต่อปี อีกทั้ง
ยังใช้รถบรรทุกหินปูนไฟฟ้า (EV Mining Truck) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5”
นางสาวจุรีพร อยู่พัฒน์ ผู้ประสานงานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุมชนทุ่งสง กล่าวว่า “ใครจะเชื่อว่า ในอดีตภาคใต้เคยเกิดภัยแล้งนานกว่า 5 เดือน ต้นไม้ยืนต้นตาย ไม่มีน้ำกิน น้ำใช้ ชุมชนจึงร่วมหาทางออก ด้วยการเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำและอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำกับเอสซีจีในโครงการรักษ์ภูผา มหานทีนำความรู้จากการไปดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯมาสร้างฝายชะลอน้ำกว่า 600 ฝาย โดยปรับให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่กระแสน้ำไหลแรง ช่วยเปลี่ยนชีวิตดีขึ้นมีน้ำเพียงพอสำหรับในชีวิตประจำวัน และทำการเกษตรเลี้ยงชีพได้มั่นคงทั้งยังถ่ายทอดความรู้การจัดการน้ำ 3 ขั้นตอน ฟื้นฟู-กักเก็บ-สำรองไปยังคนรุ่นใหม่และตำบลใกล้เคียง”
นางสาวขวัญฤทัย ยึดมั่น ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวฅนต้นน้ำบ้านวังไทร กล่าวว่า “เมื่อบ้านเรามีน้ำและเข้าร่วมโครงการพลังชุมชน ของเอสซีจี ได้เรียนรู้การเพิ่มมูลค่าสินค้า ทำให้เราเห็นโอกาสใหม่ ๆ จากการพลิกวิธีคิด
สร้างมูลค่าจากสิ่งของที่มีอยู่ในชุมชน ด้วยความเข้าใจตัวเอง-ลูกค้า-ตลาด จนกลายเป็นของดีประจำชุมชน มัดใจลูกค้า อาทิ ผัดหมี่ปักษ์ใต้เครื่องแกงชาววัง ยำมะมุด และข้าวกรอบรสต้มยำกุ้งจากนั้นต่อยอดสู่การท่องเที่ยวอนุรักษ์ 9 จุดมหัศจรรย์ ป่าชุมชนคนต้นน้ำวังไทร มอบประสบการณ์ล้ำค่าใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น เดินป่าฝ่าดงไผ่ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ร่วมทำฝายชะลอน้ำและปลูกต้นไม้ ล้อมวงกินข้าวในอ้อมกอดป่า โดยมีคนในชุมชนเป็นพี่เลี้ยง อีกทั้ง
ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา มาดูงานด้านการแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย”
นางสุจิตรา ป้านวัน ประธานกลุ่มชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ที่ปรึกษากลุ่มเยาวชนยิ้มแฉ่งให้ด้วยใจ กล่าวว่า “หมู่บ้านเราไม่มีถังขยะหน้าบ้านเพราะขยะมีคุณค่าและสร้างประโยชน์ได้มากกว่าที่คิดสามารถสร้างรายได้จากการนำมาแยกและขายเพื่อรีไซเคิล เช่น กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก ส่วนเศษอาหารนำมาทำปุ๋ยหมักและอาหารสัตว์ ขณะที่
ขยะทั่วไปที่เผาไหม้ได้ นำไปขายให้เอสซีจีแล้วผ่านกระบวนการจนกลายเป็นเชื้อเพลิงทดแทน แรก ๆ เป็นเรื่องยาก
แต่พอหมั่นลงพื้นที่ เริ่มจากคนสนิทสู่คนในชุมชน และทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พอทุกคนเห็นว่าทำได้จริง จึงเกิดเป็นความร่วมมือจัดการขยะเชื่อมสัมพันธ์ชุมชน และต่อยอดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ผู้ที่สนใจสร้างชุมชน Like (ไร้) ขยะ”
“เอสซีจี พร้อมเดินหน้า ESG 4 Plus ในทุกพื้นที่ที่เอสซีจีดำเนินงานเร่งเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมชวนชุมชนรักษ์โลก สร้างอาชีพด้วยความรู้คู่คุณธรรม ลดเหลื่อมล้ำ ขยายความร่วมมือในวงกว้าง เพื่อร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำยั่งยืน” นางวีนัส กล่าวสรุป