สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวร้านกาแฟสีเขียว ตามมาตรฐาน Greener Store
สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวร้านกาแฟสีเขียว
ตามมาตรฐาน Greener Store
เชิญชวนลูกค้าทำสิ่งเล็กๆ ที่ดีต่อเราและดีต่อโลกไปด้วยกัน
สนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการลดคาร์บอน ของเสีย
และการปล่อยของเสียลดลง 50% ภายในปี 2573
กรุงเทพฯ 12 มิถุนายน 2566 – สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ด้วยการทำงานอย่างแข็งขันเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมกิจกรรมสนับสนุนความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในร้านสตาร์บัคส์ และในปีนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวร้านกาแฟสีเขียว
ซึ่งเป็นร้านที่มีองค์ประกอบเชิงนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมผ่านการรับรองตามมาตรฐาน Greener Store ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สตาร์บัคส์ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาธุประดิษฐ์ สตาร์บัคส์ โรบินสัน ปราจีนบุรี และ สตาร์บัคส์ สถานีบริการน้ำมันเชลล์ นครชัยศรี
Greener Stores
คือการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานใหม่สำหรับร้านสตาร์บัคส์ให้ตอบสนองต่อการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
โดยกรอบการดำเนินของ Greener Stores ได้รับการพัฒนาร่วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) เพื่อกำหนดมาตรฐาน
หลักเกณฑ์ประสิทธิภาพ 25 ข้อ เช่น ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานการดูแลน้ำ และการแยกของเสีย
ซึ่งออกแบบมาเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นร้านสตาร์บัคส์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำและเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของสตาร์บัคส์ในการลดการปล่อยคาร์บอนการใช้น้ำ และของเสียลง 50% ภายในปี 2573 โดยร้านกาแฟสีเขียวแต่ละแห่งจะมีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนที่แตกต่างกันและจะได้รับการรับรองผ่านผ่านองค์กรภายนอกเพื่อมาตรฐาน โดยผลการดำเนินงานของ Greener Store แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประหยัดน้ำและพลังงานได้มากถึง 30% ในปัจจุบัน ร้านสตาร์บัคส์มากกว่า 3,500 แห่ง ใน 20 ประเทศทั่วโลก ได้รับการรับรองว่าเป็น “ร้านกาแฟสีเขียว”
สำหรับสตาร์บัคส์ ประเทศไทย มีร้านกาแฟสีเขียว ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สตาร์บัคส์ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาธุประดิษฐ์
สตาร์บัคส์ โรบินสัน ปราจีนบุรีและ สตาร์บัคส์ สถานีบริการน้ำมันเชลล์ นครชัยศรี โดยทั้ง 3 สาขาได้ยื่นพิจารณาร้านกาแฟสีเขียวหรือ Greener Store ของประเทศไทย ตามหลักการพิจารณาในหัวข้อดังต่อไปนี้
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่ระบุให้หลอดไฟทั้งหมดที่ใช้ภายในร้านเป็นหลอดไฟประเภท LED
การใช้หม้อต้มน้ำร้อนที่ตัดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิของน้ำถึง 70 องศาเซลเซียส และจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าประมาณ 10 องศาเซลเซียส การใช้เครื่องทำน้ำแข็งและเครื่องล้างจานที่ได้มาตรฐานการประหยัด
พลังงานของประเทศสหรัฐอเมริกา (Energy Star) รวมไปถึงตู้แช่เย็นและตู้แช่แข็งที่ต้องมีคุณสมบัติการใช้พลังงานเทียบเท่าเกณฑ์ประหยัดพลังงานและการติดตั้งระบบปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ (Inverter) และ VRF
ที่มีค่าประหยัดพลังงาน SEER สูงเทียบเท่าหรือดีกว่าเกณฑ์ที่เคยใช้ก่อนหน้า
การบริหารจัดการขยะ ร้านกาแฟสีเขียวของสตาร์บัคส์จะต้องใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและดำเนินการตามนโยบายของสตาร์บัคส์สากลพร้อมทั้งมีการจัดเก็บกากกาแฟเพื่อให้ลูกค้านำไปปลูกต้นไม้ โดยลูกค้าสามารถรับได้ฟรีที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขา
การจัดการระบบน้ำ โดยระบุให้มีการติดตั้งระบบกรองน้ำทั้งแบบกรองหยาบและกรองละเอียดเพื่อให้น้ำมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดการใช้ก๊อกประหยัดน้ำที่มีอัตราการไหลของน้ำไม่เกิน 4.5 ลิตร/นาที และการติดตั้งก๊อกปิดน้ำอัตโนมัติบริเวณซิงค์ล้างมือและเป็นก๊อกน้ำที่มี Aerators บริเวณซิงค์ล้างเพื่อช่วยลดปริมาตรน้ำขณะใช้งานและช่วยในการประหยัดน้ำ การจัดการน้ำยังรวมไปถึงการใช้เครื่องปั่นที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐานที่กำหนด
การเลือกใช้วัสดุที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดให้หลอดไฟทั้งหมดที่ใช้ภายในร้านต้องเป็นหลอดไฟ LED
รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่ใช้ภายในร้าน อาทิ กาว ยาวแนว สีพ่นและสีทาภายใน รวมถึงวัสดุแผ่น HMR, MDF เป็นวัสดุ low VOCหรือค่าฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำ พร้อมทั้งดำเนินการโปรแกรมการจัดหาEthical Sourcing Program และการรับซื้อเมล็ดกาแฟ C.A.F.É. Practices Coffee ตามนโยบายของสตาร์บัคส์สากล
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี กำหนดให้ร้านสตาร์บัคส์สีเขียวเลือกใช้ยิปซั่มเป็นฝ้าเพดานภายในร้านและใช้ฝ้าแบบดูดซับเสียงบริเวณเพดานเหนือบาร์ และภายในห้อง Community พร้อมการออกแบบการวางไฟตาม Lighting
Guideline ของสตาร์บัคส์
นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ได้เสนอทางเลือกใหม่ๆที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อผู้บริโภคเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้กับลูกค้าไปพร้อมกัน เช่น นโยบายส่งเสริมให้ลูกค้าใช้แก้วส่วนตัว โดยมอบส่วนลด 10 บาทต่อเครื่องดื่ม การใช้หลอดที่ทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมกันนั้นเมื่อปี 2565 สตาร์บัคส์ทุกสาขาได้เริ่มใช้แก้วสำหรับใช้ที่ร้านเพื่อลดการใช้พลาสติก ประกอบกับความมุ่งมั่นในการรีไซเคิลกากกาแฟไปผลิตเป็นโต๊ะกลับมาใช้ภายในร้าน รวมถึงถาดและที่รองแก้วกาแฟตลอดจนการนำเสนอเมนูเครื่องดื่มและขนมที่ทำจากพืช (plant-based) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการและสามารถช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ ทั้งนี้ ความยั่งยืนของสตาร์บัคส์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ด้านสิ่งแวดล้อมแต่ยังรวมถึงการสร้างความยั่งยืน และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชุมชนที่ผ่านมาสตาร์บัคส์ได้ร่วมมือกับองค์กรต่างๆ เพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน เช่น การทำงานร่วมกับมูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน หรือ ITDF ในการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่กาแฟในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ การร่วมมือกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS ในโครงการ FoodShare ที่ได้นำขนมกว่า 14,200 กิโลกรัม ไปมอบให้แก่ผู้ด้อยโอกาส
และสามารถลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า CO2 ได้ 35,800 กิโลกรัม เทียบเท่าการลดการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเป็นเวลา 2,400 วัน ทั้งนี้ อาหารเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกและบรรจุอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ มูลนิธิสตาร์บัคส์ สหรัฐอเมริกา ยังได้สนับสนุนเงินทุนในการพัฒนา โครงการ Rescue Kitchen ในชุมชนต่างๆ กว่า 206 แห่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพด้านโภชนาการให้กับชุมชน โดยพาร์ทเนอร์
(พนักงาน) สตาร์บัคส์กว่า 50 คน ได้มีส่วนร่วมในการปรุงอาหารให้กับชุมชน นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ยังสนับสนุนสินค้างานฝีมือท้องถิ่นมาโดยตลอด เช่น การร่วมมือกับครูช่างศิลป์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามเพื่อผลิตแก้วเบญจรงค์และนำมาวางจำหน่ายในร้านสตาร์บัคส์ประเทศไทย สิ่งนี้ นับเป็นการอนุรักษ์สืบสานงานศิลป์และช่วยประชาสัมพันธ์ฝีมือครูช่างศิลป์คนไทย สตาร์บัคส์มุ่งมั่นเป็นผู้นำในธุรกิจกาแฟที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ร้านสตาร์บัคส์ทุกแห่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 50% ภายในปี 2573 ลูกค้าทุกท่านสามารถรับชมการดำเนินงานตลอด 25 ปีในด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ได้ที่นี่ (ลิ้งค์วิดีโอ) และมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำสิ่งเล็กๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ไปพร้อมกับเราได้ที่สตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ